ศรช.บ้านดงบังตำบลหนองบ่อ

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

การจัดกระบวนการการเรียนรู้การศึกษานอกระบบ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544

การจัดกระบวนการการเรียนรู้การศึกษานอกระบบ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544
อัญชลี ธรรมะวิธีกุล
ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ

อัญชลี ธรรมะวิธีกุล
ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ
18 มีนาคม 2551

แนวคิดในการจัดกระบวนการเรียนรู้

การจัดกระบวนการเรียนรู้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการศึกษานอกระบบ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ได้ยึดแนวทางที่สำคัญดังนี้

1. การจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยปรัชญา “คิดเป็น” ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ร่วมกันในการคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหา โดยเริ่มตั้งแต่รวบรวมและวิเคราะห์สภาพปัญหา การรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาโดยการใช้ข้อมูล 3 ด้าน คือ ข้อมูลด้านตนเอง ข้อมูลด้านวิชาการ และข้อมูลด้านสังคมสิ่งแวดล้อมมาใช้ในกระบวนการคิดวิเคราะห์ หาแนวทางในการแก้ปัญหาและแนวทางในการแก้ปัญหาและหาแนวทางปฏิบัติด้วยหลักของความเป็นเหตุเป็นผลในการดำเนินชีวิตของตนเองและอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นสุข ในการจัดการเรียนรู้จะต้องคำนึงถึงจิตวิทยาการศึกษาผู้ใหญ่ที่ต้องการเรียนรู้ เพื่อนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการประกอบอาชีพได้ทันที ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำหลักสูตร จึงมีความจำเป็นต้องจัดเนื้อหาสาระของหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน
2. การจัดกระบวนการเรียนรู้โดยยึดตามแนวทางการจัดการศึกษาในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 โดยยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ นอกจากนี้กระบวนการจัดการเรียนรู้ยังต้องจัดสาระการเรียนรู้และกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล การเรียนรู้ในสาระต่าง ๆ จึงมีกระบวนการและวิธีการที่หลากหลายให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เน้นกระบวนการเรียนรู้ตามสภาพจริง เช่น การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ร่วมกัน การเรียนรู้จากวิถีชีวิต และการเรียนรู้จากปฏิบัติจริงเหล่านี้ เป็นต้น
3. การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ เน้นการเรียนรู้แบบองค์รวมที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ และกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ร่วมกัน โดยนำกระบวนการเรียนรู้จากสาระการเรียนรู้ในหมวดวิชาเดียวกัน หรือสาระการเรียนรู้ต่างหมวดวิชามาบูรณาการร่วมกับสภาพวิถีชีวิตในการจัดการเรียนการสอน ทั้งนี้ ผู้สอนมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) เป็นผู้ชี้แนะ ตลอดจนเป็นวิทยากรในสาขาวิชาที่นำมาบูรณาการ ซึ่งจัดได้หลายลักษณะ เช่น 1) การบูรณาการแบบผู้สอนคนเดียว 2) การบูรณาการแบบคู่ขนาน 3) การบูรณาการแบบสหวิทยาการ และ 4) การบูรณาการแบบโครงงาน
รูปแบบการจัดการเรียนรู้

การจัดการศึกษานอกระบบ ได้กำหนดรูปแบบการจัดการเรียนรู้ออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

1. การจัดการเรียนรู้โดยการพบกลุ่ม จะเน้นหนักการศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นหลัก มีการพบกลุ่ม เพื่อนำสิ่งที่ได้ไปศึกษาค้นคว้ามานำเสนอ อภิปราย และสรุปร่วมกันในลักษณะการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
2. การจัดการเรียนรู้โดยการศึกษาทางไกล เป็นวิธีการที่ผู้เรียนเรียนรู้โดยผ่านสื่อการศึกษาทางไกล ได้แก่ วิทยุ โทรทัศน์ Internet เป็นต้น

วิธีการดำเนินการจัดกิจกรรม เป็นการจัดการเรียนรู้ตามสภาพและความเหมาะสมของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย โดยมีวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น

1. การเรียนรู้ด้วยการพบกลุ่ม
2. การเรียนรู้ด้วยตนเอง
3. การเรียนรู้ด้วยการจัดชั้นเรียน
4. การเรียนรู้ด้วยการสอนเสริม
5. การเรียนรู้ด้วยวิธีการอื่น ๆ ตามที่สถานศึกษาเห็นสมควรและเหมาะสมสอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้เรียน
วิธีการเรียนรู้แต่ละวิธีมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้

1. การเรียนรู้ด้วยการพบกลุ่ม
มีวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่เน้นกระบวนการให้นักศึกษาสร้างความรู้ ความคิดได้ด้วยตนเอง เหมาะกับนักศึกษาที่พอมีเวลามาพบกลุ่มในแต่ละสัปดาห์ นักศึกษาต้องให้ความสำคัญและร่วมกิจกรรมทุกครั้ง เนื่องจากมีการประเมินผลร่วมอยู่ด้วยทุกกิจกรรมการเรียนรู้ โดยกำหนดให้นักศึกษาต้องมาพบกลุ่ม เรียนรู้จากกระบวนการพบกลุ่มไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยมีขั้นตอนการดำเนินงานดังนี้

1) กิจกรรม Home room โดยการที่ครูจะต้องให้การแนะแนว แก้ไขปัญหา การเรียนรู้ของนักศึกษา และติดตามปัญหาของนักศึกษาเป็นรายบุคคล ในการไปเรียนรู้ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
2) นักศึกษานำเสนอผลงานหรือผลที่ได้รับจากการเรียนรู้ต่อเนื่อง (กรต.) ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ต่อเนื่องที่ครูได้มอบหมายในการพบกลุ่มครั้งที่ผ่านมา โดยจะเป็นงานกลุ่มหรือรายบุคคลก็ได้ ซึ่งจะมีคะแนนสะสมระหว่างเรียน
3) ครูจัดการเรียนการสอนเพิ่มเติมในเนื้อหาที่ยากปานกลาง ซึ่งนักศึกษากับครูได้ร่วมกันวางแผนการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าแล้ว
4) การทดสอบย่อย นักศึกษาต้องเข้าทดสอบย่อยทุกครั้งของการพบกลุ่มเป็นการวัดผลประเมินผลระหว่างเรียน มีคะแนนสะสม
5) ครูมอบหมายกิจกรรมการเรียนรู้ต่อเนื่อ ง (กรต.) ในเนื้อหาที่ง่าย ซึ่งนักศึกษาสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองจากสื่อผู้รู้ และแหล่งเรียนรู้โดยมีเวลาทำกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดสัปดาห์ไม่น้อยกว่า 15 ชั่วโมง และจะต้องมีผลการเรียนรู้หรือชิ้นงานนำเสนอต่อกลุ่มในการพบกลุ่มครั้งต่อไป
6) กิจกรรมการเรียนรู้จากโครงงาน นักศึกษาร่วมกันวางแผนจัดทำโครงการ โดยมีครูเป็นที่ปรึกษาและมีการรายงานความก้าวหน้าของการทำโครงงานทุกสัปดาห์หลังจากพบกลุ่มซึ่งจะมีคะแนนสะสมทุกครั้งโดยเป็นการบูรณาการเนื้อหาสาระของหมวดวิชาทั้งหมดที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนนั้น ไม่น้อยกว่าภาคเรียนละ 1 โครงงาน
7) การเรียนรู้โดยการทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ใช้กระบวนการกลุ่มเน้นการมีส่วนร่วมนำความรู้และประสบการณ์ไปใช้เพื่อพัฒนาตนเอง ครอบครัว สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการจบหลักสูตรทุกระดับ ผู้เรียนทุกคนต้องทำกิจกรรม กพช. ไม่น้อยกว่า 100 ชั่วโมง โดยทำในภาคเรียนใดภาคเรียนหนึ่ง หรือทำสะสมทุกภาคเรียนก็ได้ ซึ่งกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ส่งเสริมให้เรียนรู้ในเรื่องต่อไปนี
7.1) กิจกรรมพัฒนาตนเองและครอบครัว เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนทางด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และสิ่งแวดล้อมของครอบครัว เพื่อไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต การอยู่ร่วมกันในสังคมและชุมชนได้อย่างมีความสุข
7.2) กิจกรรมพัฒนาชุมชนและสังคม เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง ตลอดจนการพัฒนาสิ่งแวดล้อม โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการเรียนรู้
2. การเรียนรู้ด้วยตนเอง
มีวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้กับนักศึกษาที่ไม่มีเวลามาพบกลุ่มเป็นประจำ แต่พอมีเวลาบ้าง โดยให้นักศึกษาต้องวางแผนการเรียนรู้ โดยมีวิธีการดังนี้

1) นักศึกษาสมัครเรียนและเข้ารับการแนะแนวจากสถานศึกษา จัดทำแผนการเรียนรู้
2) นักศึกษาต้องมีหลักสูตรของหมวดวิชาที่ลงทะเบียนและมีคู่มือการเรียนรู้สำหรับนักศึกษา
3) การพบกลุ่มการเรียนรู้ มีการพบกลุ่มและปรึกษากับ ครู ศรช./ครูประจำกลุ่ม ทางโทรศัพท์ อีเมล์ Internet ฯลฯ
4) มีการทดสอบระหว่างเรียนตามแผนที่ได้ทำความตกลงกับ ครู ศรช./ครูประจำกลุ่มล่วงหน้า
5) มีการทำโครงงาน
6) มีการเรียนรู้ต่อเนื่อง (ปรึกษาจากผู้รู้/ผู้ปกครอง ตามมาตรฐานการเรียนรู้ของหมวดวิชาที่ลงทะเบียนเรียน)
7) มีการสอบปลายภาค


3. การเรียนรู้ด้วยการจัดชั้นรียน
มีวิธีจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ให้นักศึกษาที่มีเวลาเรียนและต้องการความรู้อย่างเข้มข้นในหมวดวิชาที่ตนเองสนใจ โดยมีวิธีการดังนี้

1) ประกาศให้นักศึกษาที่สนใจสมัครเรียนแบบชั้นเรียนในหมวดวิชาที่สนใจ
2) นักศึกษาเข้าเรียนตามเวลา และสถานที่กำหนดร่วมกันระหว่างนักศึกษาและสถานศึกษา
3) ดำเนินการสอนโดย ครู ศรช./ครูประจำกลุ่ม และวิทยากรสอนเสริม
4) นักศึกษาจัดทำโครงงานตามหมวดวิชาที่เรียน
5) นักศึกษาเรียนรู้ต่อเนื่อง (กรต.)
6) ทดสอบระหว่างเรียน
7) ทดสอบปลายภาคเรียน
8 ) ประเมินผลการเรียน


4. การเรียนรู้ด้วยการสอนเสริม
การสอนเสริม มีความจำเป็นสำหรับการจัดการเรียนรู้เพราะจะช่วยให้นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้มากขึ้น เนื่องจากมีสาระการเรียนรู้ที่ยากและซับซ้อนและระยะเวลาเรียนที่ค่อนข้างจำกัดทำให้นักศึกษาไม่สามารถเข้าใจได้จึงมีความจำเป็นต้องสอนเสริมในบางหมวดวิชาและบางสาระการเรียนรู้ที่มีความยากและซับซ้อน ได้แก่ วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ หมวดวิชาละไม่เกิน 12 ชั่วโมง โดยทั้งนักศึกษาและครูร่วมกันวางแผนการสอนเสริม โดยเชิญวิทยากรซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน ผู้รู้ ผู้ชำนาญในเนื้อหานั้น เช่น ครูอาจารย์ที่เกษียณอายุแล้ว เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ เป็นผู้สอนเสริมหรือใช้สื่อวีดิทัศน์ประกอบการสอน การสอนเช่นนี้จะทำให้นักศึกษาเข้าใจเนื้อหาที่ยากได้ดีขึ้น ช่วงเวลาและสถานที่ในการสอนเสริมเป็นไปตามแผนที่ร่วมกันกำหนดไว้ใช้เวลาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นอกเหนือจากเวลาการพบกลุ่ม ทั้งนี้จะต้องประสานกับศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอ/เขต จัดหาวิทยากร อาจเป็นวิทยากรภายในหรือภายนอกก็ได้ ซึ่งจะได้จัดสรรค่าวิทยากรสอนเสริม

วัตถุประสงค์ของการสอนเสริม

1. เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน มุ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ให้สูงขึ้น
2. เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้ของหมวดวิชาที่มีความยุ่งยากซับซ้อน และไม่อาจศึกษาได้ด้วยตนเอง
3. เพื่อให้มีโอกาสศึกษาความรู้จากวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะสาขาวิชา
4. เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเข้ามาเป็นวิทยากรสอนเสริมในรูปแบบอาสาสมัคร


5. การเรียนรู้ด้วยวิธีการอื่น ๆ
ดำเนินการโดยครูและนักศึกษาวางแผนการเรียนรู้ร่วมกัน กำหนดให้นักศึกษาเลือกวิชาการเรียนรู้ตามความถนัด ความเหมาะสม สอดคล้องกับวิถีชีวิตของนักศึกษา เช่น การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ในชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ครอบครัว การไปทัศนศึกษา มีวิธีดำเนินการดังนี้

1) ครูและนักศึกษาวางแผนการเรียนรู้ร่วมกัน
2) นักศึกษาเสนอแหล่งเรียนรู้/ภูมิปัญญาที่สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนของหมวดวิชาที่ลงทะเบียนเรียน
3) นักศึกษากำหนดแผนการเรียนรู้และเรียนรู้ตามแผนที่กำหนดไว้
4) สรุปความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้มาเสนอครู/สถานศึกษาทุกครั้ง
5) วิทยากรหรือครูจากแหล่งเรียนรู้หรือสถานประกอบการประเมินผลการเรียนรู้ของนักศึกษาระหว่างเรียนโดยครูหรือสถานศึกษาจัดทำแผนร่วมกัน
6) สถานศึกษาทดสอบภาคปฏิบัติที่ผู้เรียนไปเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้/สถานประกอบการ ที่ตนถนัดหรือมีความชำนาญการ
7) สถานศึกษาทดสอบภาคทฤษฎีตามมาตรฐานและสาระการเรียนรู้หมวดวิชาที่ลงทะเบียนเรียน
หมายเหตุ : สามารถนำความรู้และประสบการณ์เทียบโอนเป็นหมวดวิชา หรือรายสาระการเรียนรู้ในหมวดวิชา ผู้เรียนที่ลงทะเบียนกับสถานศึกษาสามารถเลือกเรียนได้วิธีเรียนเดียวหรือหลายวิธีในภาคเรียนเดียวกันตามสภาพความพร้อมของแต่ละบุคคล



สนันสนุนสื่อการเรียนรู้

สถานศึกษาต้องให้ความสำคัญในการใช้และพัฒนาสื่อการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ต่อผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายนอกระบบอย่างจริงจัง โดยจัดให้มีสื่อที่หลากหลาย ทั้งในด้านรูปแบบเนื้อหาสาระ การนำไปใช้ตรงตามความต้องการของนักศึกษา สื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับนักศึกษา มีดังนี้

1. สื่อสิ่งพิมพ์ ได้แก่ หนังสือเรียน คู่มือครู ชุดวิชา หนังสืออ่านเพิ่มเติม ใบงาน แบบฝึกกิจกรรม หนังสือพิมพ์ แผ่นภาพ เป็นต้น
2. สื่อบุคคล ได้แก่ บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่าง ๆ ปราชญ์ชาวบ้านที่มีความรู้ความสามารถ เป็นต้น
3. สื่อโสตทัศนูปกรณ์และอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ วิทยุ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน อินเตอร์เน็ต เป็นต้น
4. สื่อกิจกรรม ได้แก่ บทบาทสมมติ ทัศนศึกษา การทำโครงการ การจัดนิทรรศการ เป็นต้น
การวัดและประเมินผลการเรียน

การวัดและประเมินผลการเรียนตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการศึกษานอกระบบ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 มีเป้าหมายสำคัญ เพื่อนำผลการประเมินไปพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ นำไปใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไขส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการของผู้เรียนโดยตรง และนำไปปรับปรุงแก้ไขการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งนำไปใช้ในการพิจารณาตัดสินความสำเร็จทางการศึกษาของผู้เรียนอีกด้วย โดยสถานศึกษาต้องจัดทำระเบียบการประเมินผลการเรียนของสถานศึกษา รวมทั้งจัดทำหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติในการวัดและประเมินผลการเรียนตามหลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการศึกษานอกระบบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ของสถานศึกษาให้ชัดเจน เพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายถือปฏิบัติร่วมกัน และเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันสถานศึกษาต้องมีผลการเรียนของผู้เรียนจากการวัดและประเมินผลใน 2 ลักษณะ ได้แก่

1. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ประกอบด้วย
1.1 การวัดและประเมินผลการเรียนหมวดวิชา
1.2 การประเมินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.)
1.3 การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์
1.4 การประเมินการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน
2. การประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับชาติ

1. การวัดและประเมินผลการเรียน
1.1 การวัดและประเมินผลการเรียนหมวดวิชา
หลักเกณฑ์และวิธีการจัดการศึกษานอกระบบ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 ได้แบ่งโครงสร้างออกเป็น 2 กลุ่มหมวดวิชา คือ กลุ่มหมวดวิชาพื้นฐาน ประกอบด้วย หมวดวิชาภาษาไทย หมวดวิชาคณิตศาสตร์ หมวดวิชาวิทยาศาสตร์ หมวดวิชาภาษาต่างประเทศ กลุ่มวิชาประสบการณ์ ประกอบด้วย หมวดวิชาพัฒนาสังคมและชุมชน (สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม) หมวดวิชาพัฒนาทักษะชีวิต 1 (สุขศึกษาและพลศึกษา) หมวดวิชพัฒนาทักษะชีวิต 2 (ศิลปะ) และหมวดวิชาพัฒนาอาชีพ (การงานอาชีพและเทคโนโลยี) สำหรับการวัดและประเมินผลการเรียนกำหนดให้มีการวัดและประเมินผลการเรียนหมวดวิชา ควบคู่ไปกับกระบวนการเรียนการสอนโดยให้สถานศึกษาใช้วิธีการประเมินผลที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลพัฒนาการความก้าวหน้าของผู้เรียนด้านความรู้กลุ่มหมวดวิชาพื้นฐานและกลุ่มหมวดวิชาประสบการณ์

1.1.1 ขั้นตอนการประเมินผลการเรียนหมวดวิชา
การประเมินผลการเรียนหมวดวิชาเป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ดำเนินการควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มหมวดวิชาพื้นฐาน และกลุ่มหมวดวิชาประสบการณ์โดยมีขั้นตอนการดำเนินงานดังนี้

1) กำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายหมวดวิชาโดยวิเคราะห์มาตรฐานและสาระการเรียนรู้
2) กำหนดเกณฑ์การตัดสินผลการเรียนรู้ที่คาดหวังเป็นรายวิชา
3) ดำเนินการประเมินผลระหว่างเรียนเพื่อทราบความก้าวหน้าของผู้เรียน
4) ประเมินผลปลายภาคเรียนเพื่อทราบผลการเรียนโดยรวม
5) ตัดสินผลการเรียนเป็นหมวดวิชา


1.1.2 วิธีการประเมินผลการเรียนหมวดวิชา
สถานศึกษาควรดำเนินการประเมินผลการเรียนใน 3 ลักษณะ ดังนี้

1) การประเมินผลก่อนเรียน
การประเมินผลก่อนเรียนมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการตรวจสอบความรู้ ทักษะ และความพร้อมต่าง ๆ ของผู้เรียนที่เป็นพื้นฐานการเรียนรู้ในแต่ละสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ของแต่ละหมวดวิชา โดยใช้วิธีการที่หลากหลายและเหมาะสมตามสภาพแต่ละหมวดวิชา เพื่อนำผลที่ได้จากการประเมินไปใช้ในการปรับปรุง ซ่อมเสริมหรือเตรียมผู้เรียนให้มีความพร้อมและมีพื้นฐานพอเพียง จะทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและจะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนได้เป็นอย่างดี การประเมินพื้นฐานและความพร้อมของผู้เรียนในระยะก่อนเรียนนี้จึงเป็นความสำคัญและจำเป็นที่ผู้สอนทุกคนควรจะต้องดำเนินการ

2) การประเมินผลระหว่างเรียน
การประเมินผลระหว่างเรียนเพื่อทราบความก้าวหน้าทั้งด้านความรู้ ทักษะ กระบวนการ คุณธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ รวมทั้งประเมินความประพฤติ การเรียน การร่วมกิจกรรม และผลงานอันเป็นผลงานมาจากการจัดกิจกรรมเรียนรู้ โดยให้มีการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง และดำเนินการควบคู่ไปกับกิจกรรมการรเรียนรู้ของผู้เรียน

การประเมินผลระหว่างเรียนมีแนวทางในการปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
(1) วางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และการประเมินผลระหว่างเรียน โดยผู้สอนและผู้เรียนจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และแนวทางการประเมินผลให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ซึ่งในแผนการเรียนรู้ควรระบุงานที่จะทำให้ผู้เรียนบรรลุตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวังไว้ด้วย
(2) กำหนดสัดส่วนการวัดและประเมินผลระหว่างภาคเรียน และปลายภาคเรียนเป็น 60 ต่อ 40 โดยผู้เรียนต้องเข้าสอบปลายภาคเรียน และได้คะแนนสอบปลายภาคไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของคะแนนเต็มปลายภาคเรียน และรวมคะแนนทั้งระหว่างภาคเรียน และปลายภาคเรียนแล้วต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 จึงจะผ่านการเรียนในหมวดวิชา/รายวิชานั้น ๆ โดยมีแนวปฏิบัติดังนี้
- คะแนนระหว่างภาคเรียน 60 ส่วน จะประเมินอะไรบ้าง ให้สถานศึกษาพิจารณาแนวทางในการประเมินโดยคำนึงถึงพัฒนาการในการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งอาจจะประเมินจากการศึกษาต่อเนื่อง (กรต.) การทดสอบย่อย (Quiz) การทำรายงาน การทำโครงงาน หรือการทำแฟ้มสะสมงาน โดยกำหนดสัดส่วนการประเมินให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้เรียน ทั้งนี้สถานศึกษาจะต้องกำหนดไว้ในระเบียบประเมินผลการเรียนของสถานศึกษาให้ชัดเจน
(3) เลือกวิธีการประเมินที่สอดคล้องกับงานหรือกิจกรรมหลัก ที่กำหนดให้ผู้เรียนปฏิบัติในการประเมินผลระหว่างเรียนรู้ผู้สอนสามารถประเมินด้วยวิธีที่หลากหลายให้สอดคล้องกับธรรมชาติและสาระการเรียนรู้ของหมวดวิชาและระดับการศึกษา เป็นการประเมินจากสิ่งที่ผู้เรียนได้แสดงให้เห็นว่ามีความรู้ ทักษะ และความสามารถ ตลอดจนมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์อันเป็นผลจากการเรียนรู้ โดยสามารถเลือกดำเนินการได้อย่างหลากหลายวิธี เช่น การประเมินผลงานที่ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเอง การนำเสนองานและการร่วมอภิปรายการทดสอบย่อย (Quiz) การทำโครงงาน เป็นต้น
3) การประเมินผลปลายภาคเรียน
การประเมินผลปลายภาคเรียน มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ได้เรียนตามสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ของแต่ละหมวดวิชาโดยภาพรวม ทั้งความรู้ ทักษะ และกระบวนการ โดยใช้เครื่อมือที่หลากหลายตามลักษณะและธรรมชาติของหมวดวิชา เช่น แบบทดสอบปรนัย แบบทดสอบอัตนัย แบบประเมินการปฏิบัติ และแฟ้มสะสมงาน เป็นต้น ผู้เรียนที่จะผ่านการเรียนหมวดวิชาจะต้องเข้าสอบปลายภาคเรียนและมีคะแนนผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดดังนี้

- คะแนนปลายภาคเรียนร้อยละ 40 ให้ประเมินโดยใช้แบบทดสอบ มีทั้งแบบปรนัยและอัตนัย ส่วนจะเป็นปรนัยเท่าไร อัตนัยเท่าไร ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษา และนักศึกษาต้องสอบให้ได้ร้อยละ 50 ของคะแนนปลายภาคเรียน และเมื่อนำคะแนนมารวมกับคะแนนระหว่างภาคเรียนแล้วต้องได้ร้อยละ 50 จึงจะตัดสินใจให้ค่าระดับผลการเรียนในหมวดวิชานั้น
การสอบแก้ตัว หากนักศึกษาไม่ผ่านการประเมินหมวดวิชาใด ให้สอนซ่อมเสริม แล้วสอบแก้ตัวในหมวดวิชานั้น โดยใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการดำเนินการหากไม่ผ่านตามมาตรฐาน จึงให้ผลการเรียนเป็น “0″ ซึ่งจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนนัดลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนถัดไป ถ้าสอบซ่อม ผ่าน ให้ค่าระดับผลการเรียน เป็น “1″ ถ้าสอบซ่อมไม่ผ่าน ให้นักศึกษาลงทะเบียนเรียนซ้ำในหมวดวิชานั้น

- ในกรณีที่นักศึกษาลงทะเบียนเรียนซ้ำ ไม่นำผลการเรียนที่ได้ “0″ มาประมวลผลเป็นค่าระดับผลการเรียนเฉลี่ย (GPA)
การตัดสินผลการเรียนหมวดวิชา

ผู้สอนทำการวัดและประเมินผลการเรียนเป็นหมวดวิชาด้วยวิธีการที่หลากหลายให้ได้ผลการประเมินตามความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน โดยทำการวัดและประเมินผลไปพร้อมกับการจัดกิจกรรมเรียนรู้ ได้แก่ การสังเกตพัฒนาการและความประพฤติของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม การทดสอบระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และเมื่อสิ้นสุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งผู้สอนต้องนำนวัตกรรมการวัด และประเมินผลทางเลือกใหม่ (Alternative Assessment) เช่น การประเมินสภาพจริง (Authentic Assessment) การประเมินการปฏิบัติ (Performance Assessment) การประเมินจากโครงการ (Work Project) และการประเมินจากแฟ้มสะสมงาน (Portfolio) ไปใช้ในการประเมินผลการเรียนควบคู่ไปกับการใช้แบบทดสอบต่าง ๆ การตัดสินผลการเรียนให้นำคะแนนระหว่างภาคเรียนรวมกับคะแนนปลายภาคเรียนแล้วนำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด เพื่อให้ค่าระดับผลการเรียน

การให้ค่าระดับผลการเรียนให้กำหนดเป็น 8 ระดับ ดังนี้

ได้คะแนนร้อยละ 80-100 ให้ระดับ 4 หมายถึง ดีเยี่ยม

ได้คะแนนร้อยละ 75-79 ให้ระดับ 3.5 หมายถึง ดีมาก

ได้คะแนนร้อยละ 70-74 ให้ระดับ 3.0 หมายถึง ดี

ได้คะแนนร้อยละ 65-69 ให้ระดับ 2.5 หมายถึง ค่อนข้างดี

ได้คะแนนร้อยละ 60-64 ให้ระดับ 2 หมายถึง ปานกลาง

ได้คะแนนร้อยละ 55-59 ให้ระดับ 1.5 หมายถึง พอใช้

ได้คะแนนร้อยละ 50-54 ให้ระดับ 1 หมายถึง ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด

ได้คะแนนร้อยละ 0-49 ให้ระดับ 0 หมายถึง ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด

หมวดวิชาที่ได้รับผลการเรียน 1, 1.5, 2, 2.5, 3, 3.5 หรือ 4 ถือว่าสอบหมวดวิชานั้นได้

กรณีผู้เรียนมีผลการเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด ให้ดำเนินการพัฒนาผู้เรียนในรายหมวดวิชาที่ได้ค่าระดับผลการเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ โดยดำเนินการด้วยวิธีการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ของหมวดวิชาและบริบทของผู้เรียน เช่น การทำโครงงานหรือกิจกรรม หรือการมอบหมายให้ไปศึกษาค้นคว้าทำรายงานจนผู้เรียนสามารถผ่านเกณฑ์การประเมินผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง แล้วให้ระดับผลการเรียนใหม่ตามเงื่อนไขที่สถานศึกษากำหนด สำหรับผู้เรียนที่ปรับปรุงพัฒนาแล้วไม่ผ่านเกรฑ์ขั้นต่ำ ให้ลงทะเบียนซ้ำในหมวดวิชาเดิมหรือเปลี่ยนหมวดวิชา ทั้งนี้ให้เป็นไปตามโครงสร้างหลักสูตร ตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการศึกษานอกระบบแต่ละระดับการศึกษา ทั้งนี้ ควรดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อนลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนถัดไป

1.1 การประเมินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.)
การประเมินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) เป็นเงื่อนไขหนึ่งผู้เรียนทุกคนจะต้องได้รับการประเมินตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด จึงจะได้รับการพิจารณาให้จบหลักสูตรในแต่ละระดับการศึกษาได้ ผู้เรียนต้องนำเสนอโครงการ/กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นกิจกรรมกลุ่มที่ผู้เรียนทำตามความสนใจ ความถนัด โดยเน้นการนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษา/เรียนรู้ไปสู่การปฏิบัติที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริง เพื่อพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ และการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีควาสุขซึ่งแนวทางในการดำเนินการประเมินดังนี้

1.1.1 การประเมินผู้เรียน ผู้สอน ผู้เรียน และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายร่วมกันกำหนดเกณฑ์การประเมินและดำเนินการประเมินผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การดูผลงาน การบันทึกการเรียนรู้ของผู้เรียน
1.1.2 การสรุปผลการเรียน คณะกรรมการวัดผลประเมินผลของสถานศึกษา จะรวบรวมผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตจากผู้สอนและผู้เกี่ยวข้อง พร้อมหลักฐานต่าง ๆ พิจารณาตีค่าเป็นจำนวนชั่วโมงผ่านกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน ทั้งนี้การตีค่าจำนวนชั่วโมงให้นับรวมตั้งแต่การวางแผน การปฏิบัติกิจกรรม และการประเมินผลกิจกรรมนั้น ส่วนการให้น้ำหนักเวลาให้พิจารณาจากความยากง่าย ความพยายาม ความมุ่งมั่น และผลที่เกิดจากการดำเนินกิจกรรมที่มีต่อตนเอง ครอบครัว สังคม ชุมชนเพียงใด ผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เป็น “ผ่าน” และ “ไม่ผ่าน“
1.1.3 การบันทึกผลการประเมิน ให้บันทึกจำนวนชั่วโมงที่ได้ปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตตามที่คณะกรรมการวัดและประเมินผลของสถานศึกษาตีค่าให้
1.1.4 เกณฑ์การประเมินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต แต่ละระดับการศึกษา ผู้เรียนจะต้องมีจำนวนชั่วโมง การผ่านกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตไม่น้อยกว่า 100 ชั่วโมง จึงถือว่าได้ผ่านกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักสูตร
1.2 การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์
การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์เป็นเงื่อนไขที่ผู้เรียนทุกคนจะต้องได้รับการประเมินตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด จึงจะได้รับการพิจารณาให้จบหลักสูตรในแต่ละระดับการศึกษา การกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา ความจำเป็น และความต้องการของสถานศึกษา และชุมชนโดยเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษา ซึ่งคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้นอาจจะซ้ำหรือแตกต่างจากคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตรมาตรฐานการเรียนรู้ของแต่ละหมวดวิชาก็ได้ เมื่อกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของสถานศึกษาแล้วจะต้องประกาศให้ทราบเป็นการทั่วไปและแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทราบและมีส่วนร่วมในการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน

การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ดังกล่าว อาจประเมินจากการที่ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ทุกกลุ่มและการเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งกิจกรรมในลักษณะอื่น ๆ ที่สถานศึกษาจัดขึ้น เพื่อสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ให้เกิดกับผู้เรียน การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สถานศึกษาควรดำเนินการประเมินในรูปคณะกรรมการ ซึ่งมีแนวทางในการดำเนินการประเมินดังนี้

1.3.1 การประเมินผู้เรียน ผู้สอน ผู้เรียน และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายดำเนินการประเมินผู้เรียนอย่างต่อเนื่องตามแนวทางที่สถานศึกษากำหนด ซึ่งมีวิธีการหลากหลาย เช่น สังเกตและรายงานพฤติกรรมจากผู้เกี่ยวข้อง การดูผลงาน การบันทึกความดี การรายงานตนเองของผู้เรียน ฯลฯ เป็นต้น
1.3.2 การสรุปผลการประเมิน คณะกรรมการวัดและประเมินผลของสถานศึกษารวบรวมผลการประเมินจากคุณลักษณะอันพึงประสงค์ จากผู้ประเมินทุกฝ่ายนำมาพิจารณาแต่ละรายการและสรุปผลการประเมินของผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา เพื่อวินิจฉัยแบ่งพฤติกรรมของผู้เรียนเป็นดังนี้
“ดีมาก” หมายถึง มีพฤติกรรมหรือสูงกว่าเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด
“ดี” หมายถึง มีพฤติกรรมตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด
“พอใช้” หมายถึง มีพฤติกรรมบางประการที่ควรปรับปรุงและได้ผ่านกระบวนการปรับปรุงที่สถานศึกษาดำเนินแล้ว

1.3.3 การแจ้งผลและบันทึกผลการประเมิน คณะกรรมการวัดและประเมินผลคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของสถานศึกษา จะต้องสรุปผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์และแจ้งให้ครูผู้สอนหรือผู้เกี่ยวข้องนำไปแจ้งให้ผู้เรียนทราบ
ในกรณีที่ยังไม่จบระดับการศึกษา การบันทึกผลการประเมิน เพื่อส่งต่อให้กับผู้สอน ผู้เกี่ยวข้องและผู้เรียน ให้บันทึกผลการประเมินเป็นดีมาก ดี หรือมีพฤติกรรมบางประการที่ควรปรับปรุงไว้ด้วย เพื่อสอนผู้เกี่ยวข้องคนต่อไป และผู้เรียนจะได้ร่วมกันปรับปรุงผู้เรียน ให้เกิดคุณลักษณะดังกล่าวที่เป็นไปตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่สถานศึกษาได้กำหนด หากผู้เรียนมีคุณลักษณะบางประการที่ควรปรับปรุง และยังไม่ผ่านกระบวนการปรับปรุงคุณลักษณะอันพึงประสงค์ดังกล่าว ผู้เรียนจะไม่ได้รับอนุมัติวให้จบหลักสูตร

นอกจากนี้ สถานศึกษาควรให้ผู้เรียนเขียนบันทึกของตนเองว่าตนเองมีคุณลักษณะเด่นอะไรบ้าง พร้อมอธิบายลักษณะเด่นหรือความสามารถพิเศษอย่างย่อ ๆ ไว้ด้วย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการสรุปผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ต่อไป

1.3.4 เกณฑ์การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในแต่ละระดับการศึกษาผู้เรียนจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่สถานศึกษากำหนด และมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ซึ่งจะได้เป็นดีมาก ดี หรือพอใช้
1.3 การประเมินการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน
การประเมินการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียนเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ผู้เรียนทุกคนจะต้องได้รับการประเมินตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด จึงจะได้รับการพิจารณาให้จบหลักสูตรในแต่ละดับการศึกษา สถานศึกษาจะต้องกำหนดมาตรฐานการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียนให้สอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของสถานศึกษา ทั้งนี้สถานศึกษาจะต้องแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทราบและมีส่วนร่วมในการประเมินการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน

การประเมินการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน อาจประเมินจากการที่ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้หมวดวิชา หรือการเข้าร่วมกิจกรรมในลักษณะอื่น ๆ เพื่อฝึกทักษะการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน ตามที่หลักสูตรกำหนดการประเมินดังกล่าว สถานศึกษาควรทำในรูปคณะกรรมการ ซึ่งมีขั้นตอนและวิธีการดำเนินการประเมินดังนี้

1.4.1 การประเมินผู้เรียน ผู้สอน ผู้เรียน และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายดำเนินการประเมินผู้เรียนอย่างต่อเนื่องตามแนวทางที่สถานศึกษากำหนด ซึ่งมีวิธีการที่หลากหลาย เช่น
1.4.1.1 ประเมินขณะจัดการเรียนการสอนรายหมวดวิชา
1.4.1.2 มอบหมายให้ผู้เรียนไปศึกษา ค้นคว้า ไปศึกษาดูงาน แล้วเขียนเป็นรายงานการคิด วิเคราะห์ และนำเสนอในรูปของแฟ้มสะสมงาน/โครงงานหรือรูปแบบอื่น
1.4.1.3 วิธีอื่น ๆ ที่เห็นว่าเหมาะสม
1.4.2 การสรุปผลการประเมิน คณะกรรมการวัดและประเมินผลการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียนของสถานศึกษารวบรวมผลการประเมินผลการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน จากผู้ประเมินทุกฝ่ายนำมาพิจารณาแต่ละประเด็น และสรุปผลการประเมินของผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา เพื่อวินิจฉัยการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียนเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
“ดีมาก” หมายถึง มีผลการประเมินสูงกว่าเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด
“ดี” หมายถึง มีผลการประเมินตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่สถานศึกษากำหนด
“พอใช้” หมายถึง มีผลการประเมินบางประการที่ต้องปรับปรุงและได้ผ่านกระบวนการปรับปรุงที่สถานศึกษากำหนดแล้ว

1.4.3 การแจ้งผลและบันทึกผลการประเมิน คณะกรรมการวัดและประเมินผลของสถานศึกษาจะต้องสรุปผลการประเมินการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน แล้วแจ้งให้ครูผู้สอนหรือผู้เกี่ยวข้องนำไปแจ้งให้ผู้เรียนทราบ
กรณีที่ยังไม่จบระดับการศึกษาให้บันทึกผลการประเมินเป็นดีมาก ดี พอใช้ พร้อมทั้งข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะว่าควรส่งเสริม สนับสนุนผู้เรียนในเรื่องใด หรือควรดูแลเอาใจใส่ในเรื่องใดเป็นพิเศษ เพื่อผู้สอน ผู้เกี่ยวข้อง และผู้เรียนจะได้ร่วมกันส่งเสริม สนับสนุน หรือปรับปรุงแก้ไขให้ได้ตามมาตรฐานหรือสูงกว่ามาตรฐานการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียนที่สถานศึกษากำหนดไว้ต่อไป ทั้งนี้หากผู้เรียนมีผลการประเมินบางประการที่ต้องปรับปรุงสถานศึกษาจะต้องจัดกิจกรรม หรือมอบหมายงานให้ผู้เรียนไปดำเนินการ



การผ่านระดับการศึกษาและการจบหลักสูตร

ผู้เรียนทั้งระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสามารถจบการศึกษาโดยมีเกณฑ์การผ่านระดับการศึกษา และจบหลักสูตรในแต่ละระดับการศึกษาดังนี้

1. ผ่านเกณฑ์การประเมินตามมาตรฐานการเรียนรู้ในแต่ละระดับการศึกษา ตามที่สถานศึกษากำหนดดังนี้
1.1. ระดับประถมศึกษา กลุ่มหมวดวิชาพื้นฐาน 20 หน่วยกิต และหมวดวิชาประสบการณ์ 28หน่วยกิต รวมตลอดหลักสูตร ไม่น้อยกว่า 48 หน่วยกิต
1.2. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มหมวดวิชาพื้นฐาน 24 หน่วยกิต และหมวดวิชาประสบการณ์ 32 หน่วยกิต รวมตลอดหลักสูตร ไม่น้อยกว่า 56 หน่วยกิต
1.3. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กลุ่มหมวดวิชาพื้นฐาน 28 หน่วยกิต และหมวดวิชาประสบการณ์ 48 หน่วยกิต รวมตลอดหลักสูตร ไม่น้อยกว่า 76 หน่วยกิต
2. ผ่านเกณฑ์การประเมินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) ตามที่กำหนดไว้ในหลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการศึกษานอกระบบ
3. ผ่านกระบวนการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด
4. ผ่านเกณฑ์การประเมินการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียนตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด
การพิจารณาอนุมัติการผ่านระดับการศึกษาและการจบหลักสูตร

การพิจารณาให้ผู้เรียนผ่านระดับการศึกษาหรือจบหลักสูตรนั้น ผู้เรียนจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์การผ่านระดับการศึกษา และการจบหลักสูตร ถ้าผู้เรียนคนใดมีข้อบกพร่องในเกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่ง นายทะเบียนผู้รวบรวมข้อมูลผลการเรียนของผู้เรียน จะไม่เสนอชื่อผู้เรียนนั้นให้หัวหน้าสถานศึกษาพิจารณาอนุมัติผลการผ่านระดับการศึกษาหรือการจบหลักสูตร แต่จะแจ้งให้ผู้เรียนแก้ไขข้อบกพร่องให้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์การผ่านระดับการศึกษาหรือการจบหลักสูตร

เมื่อผู้เรียนแก้ไขข้อบกพร่องจนมีคุณสมบัติตามเกณฑ์การผ่านระดับการศึกษาหรือการจบหลักสูตรครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว จะได้รับการเสนอชื่อให้หัวหน้าสถานศึกษาพิจารณาอนุมัติผลการผ่านระดับการศึกษาหรือการจบหลักสูตรต่อไป

2. การประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับชาติ
2.1 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในภาคเรียนสุดท้ายของระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเข้ารับการประเมินคุณภาพการศึกษานอกโรงเรียนในหมวดวิชา ได้แก่ หมวดวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาตร์ วิทยาศาสตร์ และพัฒนาสังคมและชุมชน มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นรายสถานศึกษา รายอำเภอ รายจังหวัด รายภาค และภาพรวมของประเทศ เพื่อให้สถานศึกษานำข้อมูลไปใช้ในการวางแผน ปรับปรุง และพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของสถานศึกษาต่อไป

ทั้งนี้ในอนาคตการประเมินคุณภาพระดับชาติ มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง คือ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ จะเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการประเมินสถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนั้นการประเมินคุณภาพระดับชาติจะประเมินทุกระดับการศึกษา ขณะนี้เริ่มประเมินในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายก่อน

สำหรับนักศึกษาการศึกษานอกระบบในขณะนี้สถานศึกษาจะต้องชี้แจงให้นักศึกษาทราบว่าการที่จะสอบวัดความรู้ระดับชาติ (O-NET) เพื่อไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษานั้น นักศึกษาจะต้องสมัครสอบด้วยตนเอง ส่วนข้อมูลนักศึกษาทั้งหมดที่จบหลักสูตรระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สถานศึกษาจะต้องจัดส่งให้ตามขั้นตอนที่สำนักงานส่งเสริมนอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกำหนด

2.2 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนการศึกษานอกระบบทุกคนที่กำลังศึกษาอยู่ภาคเรียนสุดท้ายของหลักสูตรระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เข้ารับการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) 5 กลุ่มสาระ (หมวดวิชา) ได้แก่ หมวดวิชาภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และพัฒนาสังคมและชุมชน (สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม) ซึ่งจัดโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการประกันคุณภาพการศึกษา และเป็นดัชนีบ่งชี้ เพื่อใช้ในการปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนของสถานศึกษา

บทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้

1. การเตรียมการ
1.1 การศึกษาและวิเคราะห์เรื่องที่จะจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เข้าใจ
1.2 ศึกษาหาแหล่งความรู้ที่หลากหลาย
1.3 วางแผนการจัดการเรียนรู้
กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน
วิเคราะห์เนื้อหาและควมคิดรวบยอด และกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจน
ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนสำคัญที่สุด
กำหนดวิธีการประเมินผลการเรียนรู้
1.4 จัดเตรียม
สื่อ วัสดุเพื่อใช้ในการจัดการเรียนรู้ ให้เพียงพอสำหรับผู้เรียน
เอกสาร หนังสือ หรือข้อมูลต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้เรียน
ติดต่อแหล่งความรู้ซึ่งอาจจะเป็นบุคคลหรือสถานที่ และศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
เครื่องมือการประเมินผลการเรียนรู้
ห้องเรียนหรือสถานที่เพื่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
2. การจัดกระบวนการเรียนรู้
2.1 สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดี
2.2 กระตุ้นผู้เรียนให้สนใจในการเข้าร่วมกิจกรรม
2.3 จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนที่ได้เตรียมไว้
2.4 ดูแลให้ผู้เรียนดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ แก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
2.5 อำนวยความสะดวกแก่ผู้เรียนในการดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้
2.6 กระตุ้นผู้เรียนให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมอย่างเต็มที่
2.7 สังเกตและบันทึกพฤติกรรมและกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน รวมทั้งเหตุการณ์ที่จะส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดขึ้นขณะทำกิจกรรม
2.8 ให้คำแนะนำและข้อมูลต่าง ๆ แก่ผู้เรียนตามความจำเป็น
2.9 บันทึกปัญหาและข้อขัดข้องต่าง ๆ ในการดำเนินกิจกรรมเพื่อการปรับปรุงกิจกรรมให้ดีขึ้น
2.10 เสริมแรงผู้เรียนตามความเหมาะสม
2.11 ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานการเรียนรู้ของผู้เรียน และให้ความรู้เพิ่มเติมตามความเหมาะสม
2.12 ให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ผู้เรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมและกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน และให้ข้อเสนอแนะตามความเหมาะสม
3. การประเมินผล
3.1 เก็บรวบรวมผลงานและประเมินผลงานของผู้เรียน
3.2 ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามที่กำหนดไว้ในแผนการสอน

อ่านต่อ

อ่านเพิ่มเติม

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

ชุดแบบฝึกการคัดลายมือ

แบบฝึกทักษะการคัดลายมือของศูนย์การเรียนชุมชนตำบลหนองบ่อ ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการของนักศึกษาที่ต้องการ ได้พัฒนาทักษะทางด้านการเขียนโดยกำหนดกิจกรรมการฝึกไว้ 4 สัปดาห์ ในการใช้ฝึก



แบบฝึกทักษะการคัดลายมือของศูนย์การเรียนชุมชนตำบลหนองบ่อ ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการของนักศึกษาที่ต้องการ ได้พัฒนาทักษะทางด้านการเขียนโดยกำหนดกิจกรรมการฝึกไว้ 4 สัปดาห์ ในการใช้ฝึก
แนวทางการฝึกในแต่ละกิจกรรมฝึกมีดังนี้
สัปดาห์ที่ ๑
กิจกรรมที่ ๑ ลากเส้นตามทิศทาง
กิจกรรมที่ ๒ ลากเส้นตามรอยประพยัญชนะไทยทั้ง 44 ตัว
กิจกรรมที่ ๓ ลากเส้นตามรอยประสระทั้ง 32 ตัว
สัปดาห์ที่ ๒
กิจกรรมที่ ๔ - ๑๑ ลากเส้นเขียนสะกด
สัปดาห์ที่ ๓
กิจกรรมที่ ๑๒-๑๗ ลากเส้นฝึกเขียนคำ
สัปดาห์ที่ ๔
กิจกรรมที่ ๑๘ ลากเส้นฝึกเขียนคำเป็นประโยคและคัดลายมือ


แบบฝึกที่นักศึกษาจะเรียนต่อไปนี้ เป็นแบบฝึกที่นักศึกษาจะต้องปฏิบัติ
ด้วยตนเองตามกิจกรรมที่กำหนดไว้ ดังต่อไปนี้
๑. ให้นักศึกษาศึกษากิจกรรมการฝึกปฏิบัติให้เข้าใจ
๒. ทำแบบทดสอบก่อนเรียน
๓. เมื่อนักศึกษามีปัญหาให้สอบถามครูผู้สอน
๔. เมื่อเริ่มเรียนนักศึกษาต้องฝึกปฏิบัติแบบฝึกเขียน จนครบ
๕. ให้นักศึกษาฝึกปฏิบัติทุกกิจกรรม

เมื่อนักศึกษาผ่านการฝึกเขียนเรียบร้อยแล้ว จึงทำแบบทดสอบหลังเรียน
แบบทดสอบก่อนเรียน
คำสั่ง ให้นักศึกษาคัดข้อความด้วยตัวบรรจงให้สวยงาม (10 นาที)
เคล็ดลับคู่บ้าน วิธีผัดผักให้เขียวกรอบ น่ากิน
วิธีทำ
1. ล้างผักให้สะอาดก่อน นำผักไปต้มในน้ำเดือด ประมาณ 1 นาที
2. แล้วตักขึ้น แช่ในน้ำเย็นทันที ผักก็จะดูเขียวสด
3. แล้วจึงนำไปผัดอีกวิธี คือการตั้งกระทะใส่น้ำมันเปิดเตาแก๊สให้ไฟแรง พอน้ำมันร้อนจึงนำผักลงไปผัด
4. ผักจะดูเขียวสดน่ารับประทาน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบความรู้
การคัดลายมือ
ตัวอักษรไทยมีประวัติความเป็นมายาวนานมาก ตั้งแต่สมัยสุโขทัย และมีการปรับปรุง
เปลี่ยนแปลงมาเรื่อย ๆ จนเป็นตัวเลขและตัวอักษรที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ตัวอักษรไทยเป็นมรดก
ที่บรรพบุรุษสร้างไว้เพื่อแสดงความภาคภูมิใจในความเป็นเอกราช มีเอกลักษณ์และมีวัฒนธรรม
ของชาติมาตั้งแต่โบราณ การใช้ตัวอักษรและตัวเลขไทย โดยการเขียนให้ถูกต้องเป็นการอนุรักษ์
มรดกไทย สร้างความภาคภูมิใจในชาติ
การเขียนหนังสือ
การเขียนหนังสือ แบ่งเป็น ๒ ประเภท ดังนี้
๑. การเขียนบรรจง
๒. การเขียนหวัดแกมบรรจง (ใช้เขียนในชีวิตประจำวัน)
การเขียนบรรจง
การเขียนบรรจงเป็นการเขียนเพื่อเน้นความชัดเจนในการสื่อสาร และความสวยงามของตัวอักษร
การเขียนจะมุ่งเน้นการประณีตงดงาม ถูกต้องตามรูปแบบและอักขรวิธี การเว้นวรรคตอน ช่องไฟ รวมถึง
ความสะอาด สวยงาม การเขียนประเภทนี้ จะมีวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น การประกวดคัดลายมือ การเขียน
เกียรติบัตรต่าง ๆ การเขียนหนังสือสำคัญ ๆ เป็นต้น
หลักการเขียนบรรจง
๑. จับดินสอ ปากกา วางกระดาษ วางมือและท่าทางการเขียนให้ถูกต้อง
๒. เขียนตัวอักษรทั้งสระ วรรณยุกต์ และเครื่องหมายต่าง ๆ รวมทั้งตัวเลขถูกต้องตามรูปแบบ
๓. เขียนตัวอักษรจากหัวไปหางเสมอ
๔. การเขียนหัวตัวอักษร มี ๒ แบบ คือ แบบหัวกลม กับรูปดอกบัวตูม (แบบอาลักษณ์) เมื่อเขียน
แบบหนึ่งแบบใดแล้ว ก็ให้เขียนเป็นแบบเดียวกันไปตลอด
๕. สัดส่วนตัวอักษร ส่วนสูงของตัวอักษรแบ่งได้ ๔ ส่วน ความกว้างของตัวอักษรตามปกติ
จะไม่เกินครึ่งหนึ่งของส่วนสูง ตัวอักษรใดที่มีหัวอยู่แนวบนของบรรทัด หัวจะอยู่ที่ส่วน
ที่ ๑ ตัวอักษรที่มีหัวอยู่แนวล่างของบรรทัด หัวจะอยู่ที่ส่วนที่ ๔ ส่วนตัวอักษรที่มีหัวอยู่ตรงกลาง
ตัวอักษร หัวจะอยู่ในส่วนที่ ๒
๖. การเขียนไส้ตัวอักษร ไส้ตัวอักษรจะเขียนอยู่เสมอเส้นกึ่งกลางของส่วนสูง เว้นแต่ไส้ของ
ตัว ฟ เท่านั้นที่เขียนเสมอหัวอักษร
การเขียนหวัดแกมบรรจง
หลักการเขียนหวัดแกมบรรจง
๑. เขียนหนังสือให้คงที่ คือรักษารูปลักษณะลายมือให้เป็นแบบเดียวกันตลอด ไม่ใช่โย้
หน้าบ้างตัวตรงบ้าง โย้หลังบ้าง ตามแต่อารมณ์ ตามธรรมดาคนเราจะเขียนหนังสือเอียงไปทางขวามือเล็กน้อยหากใครจะเขียนหนังสือตั้งฉากกับบรรทัดก็ได้ แต่ทว่าการเขียนหนังสือให้เอนมาทางซ้ายอย่างที่เรียกว่าโย้หน้านั้น ตามหลักการเขียนไม่นิยม
๒. เขียนอักษรให้อ่านง่ายและมีหัวชัดเจน หลักการเขียนหนังสือโดยทั่วไป คือ เขียนหนังสือ
จากหัวไปหาง ตัวหนังสือจะอ่านง่ายขึ้น ถ้าเขียนมีหัวให้สังเกตชัดเจน คนที่เขียนหนังสือไม่มีหัวหรือ
ที่เรียกกันว่า “หัวบอด” นั้น นอกจากจะผิดหลักการเขียนอักขรวิธีแล้ว ยังอ่านยากและทำให้เข้าใจผิดได้
โดยเฉพาะอักษรที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน เช่น ด, ค, ก, หรือ ถ เป็นต้น
๓. เขียนอักษรทีละตัว อย่าเขียนตัวอักษรติดกันไปตลอด หรือหลายคำ เช่น คำว่า ทาน หรือ พาน
ถ้าเขียนโดยไม่ยกมือเลยจะมีลักษณะคล้ายกันมาก ทำให้อ่านยาก คำอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน ต้องระมัดมะวัง
ในเรื่องเหล่านี้ด้วย
๔. เขียนสะกดการันต์ให้ถูกต้องตามพจนานุกรม
๕. เขียนให้จบคำในบรรทัด อย่าเขียนหนังสือแยกคำ เช่น นา-ฬิกา ความ-รัก ประชา-ชน รูป-ถ่าย
หนังสือแบบ-เรียน อยู่คนละบรรทัด ถึงจะใช้ยัติภังค์เชื่อมก็ไม่ถูกต้อง
๖. การเขียนสระกำกับ สระที่เขียนไว้บนตัวอักษร เช่น สระอิ สระอี เขียนให้มี
ความกว้างเท่ากับความกว้างของตัวอักษร
การเขียนฝนทอง ฟันหนู นั้นเขียนขีดลงไม่ใช่ขีดขึ้น และจะเขียนอยู่ตรงกับ
เส้นหลังตัวอักษร
การเขียนวรรณยุกต์ เขียนไว้ตรงเส้นหลังตัวอักษร สระที่เขียนข้างล่างคือ สระอุ สระอู
ก็เช่นเดียวกัน ถ้าอักษรนั้นมีหางยาว จึงให้เลื่อนวรรณยุกต์หรือสระนั้น ๆ ไปข้างหน้าพองาม
โดยไม่เกินครึ่งหนึ่งของความกว้างตัวอักษร
๗. การเขียนหางตัวอักษร ตัวอักษรที่มีหางยาว เช่น ป ฟ หางของตัวอักษรจะยาว
ไม่เกินครึ่งหนึ่งของความสูงตัวอักษร ถ้ายาวเกินครึ่งหนึ่งจะกลายเป็นการเขียน “เล่นหาง”
๘. การเขียนวน เช่น การเขียนเลขศูนย์ หรือ สระอำ ต้องเขียนวนจากซ้ายไปขวา
๙. การเขียนเครื่องหมายต่าง ๆ และตัวเลข เขียนขนาดครึ่งหนึ่งของตัวอักษร

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการคัดลายมือ
การคัดลายมือนั้นจะต้องมีปัจจัยทางร่างกายหลายอย่างประกอบกัน ดังนี้
๑. มือ การพัฒนากล้ามเนื้อก็เป็นส่วนสำคัญต่อการคัดลายมือ เด็กบางคนไม่สามารถ
บังคับกล้ามเนื้อมือให้เขียนตัวอักษรได้ บางคนมือพิการก็ทำให้เขียนไม่ถนัด หรือไม่สามารถเขียนได้ การเขียนต้องใช้มือเป็นประการสำคัญ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการฝึกกล้ามเนื้อมือด้วย
๒. ตา การคัดลายมือจำเป็นต้องใช้สายตาดูแบบตัวอักษร และใช้สายตาดูตัวอักษรว่า
เหมือนแบบหรือไม่ สำหรับเด็กที่มีการพัฒนาการทางสายตาไม่เจริญตามปกติ จะมองภาพกลับกันกับภาพจริงคือมองตัวอักษรกลับหัวบ้าง กลับตัวบ้าง ดังนั้นเมื่อจะเขียนตัวอักษรก็เขียนกลับหัวตามสายตา จึงเกิด
การเขียนผิด เช่น “บ้าน” เขียนเป็น “บาน” เป็นต้น ดังนั้น สายตาก็เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อการเขียนเป็นอย่างยิ่ง
๓. ความสัมพันธ์ระหว่างดวงตากับกล้ามเนื้อมือ การเขียนต้องอาศัยตามอง เพื่อรับเข้าและ
ใช้มือแสดงสิ่งที่มองนั้น นอกจากนี้ตายังต้องมองสิ่งที่มือเขียน ว่ามีขนาดถูกต้องเหมือนแบบหรือ
เหมือนที่คิดไว้หรือไม่
หลักการเขียน
๑. นั่งตัวตามสบาย มือซ้ายแตะกระดาษ
๒. จับปากกาด้วยนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือ พาดปากกาบนนิ้วกลาง ปากกาพ้นนิ้วประมาณ ๑ นิ้ว
๓. แสงสว่างเข้าทางด้านหน้า หรือด้านซ้ายมือ
๔. เริ่มเขียนจากหัวตัวอักษรก่อน ส่วน ก และ ธ เริ่มจากริมด้านซ้าย
๕. ตัวอักษรที่มีเชิงหรือความสูง เช่น ฎ ฐ ไ โ เขียนให้ลงล่างหรือขึ้นบนประมาณครึ่งหนึ่ง
ของตัวปกติ
๖. ตัวอักษรที่มีความกว้าง เช่น ณ ญ จะกว้างกว่าตัวอักษรปกติครึ่งส่วน
๗. เว้นช่องไฟระหว่างตัวอักษร และระยะห่างระหว่างบรรทัดเท่ากัน
๘. เว้นวรรคเล็กเท่าตัว ก วรรคใหญ่เป็นสองเท่าของตัว ก
๙. เว้นริมกระดาษทั้ง ๒ ข้างให้พอเหมาะ นิยมเว้นริมซ้าย ๑ นิ้ว ริมขวา ครึ่งนิ้ว
๑๐. เขียนตัวอักษรให้ถูกแบบ เป็นระเบียบ สะอาดและรวดเร็ว

ท่าทางการคัดลายมือการคัดลายมือ การจับดินสอ ปากกา ท่าทางต้อง
๑. การคัดลายมือ ต้องจับดินสอหรือปากกาให้ถูก ดินสอหรือปากกาจะอยู่ที่นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้และนิ้วกลาง ส่วนนิ้วก้อยและนิ้วนางงอไว้ในฝ่ามือ
๒. การวางสมุด ให้วางสมุดตรง ๆ ไม่วางสมุดเอียงไปทางใดทางหนึ่ง
๓. การวางท่าในการเขียน ต้องนั่งตัวตรง ค้อมศีรษะเล็กน้อย สายตาห่างจากกระดาษ
ประมาณ ๑ ฟุต และเขียนด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายวางบนกระดาษที่เขียนเพื่อไม่ให้กระดาษ
เลื่อนไปมา



กิจกรรมที่ 1

การลากเส้นพื้นฐานเพื่อพัฒนาการเขียน

จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาลีลาในการลากเส้นต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานการเขียน
กิจกรรม สนทนาเกี่ยวกับเส้นต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานด้านการเขียน ลากเส้นตามทิศทางของลูกศร


กิจกรรมที่ 2

การลากเส้นพยัญชนะไทย ก–ฮ ตามรอยเส้นประ
จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับพยัญชนะไทยมีทั้งหมด 44 ตัว ที่เป็นพื้นฐานการเขียนภาษาไทย
2. ให้นักศึกษาลากเส้นตามรอยประพยัญชนะไทยทั้ง 44 ตัว (ตามกลุ่มพยัญชนะ)


กิจกรรมที่ 3

การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประ
จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับสระทั้ง 32 ตัว ที่เป็นพื้นฐานการเขียนภาษาไทย
2. ให้นักศึกษาลากเส้นตามรอยประสระทั้ง 32 ตัว


กิจกรรมที่ 4
การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประ
จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับการสะกดคำ แม่กง
2.ให้นักศึกษาเขียนสะกดคำ แม่กง คำในแม่กง เป็นคำที่มี ง สะกด

พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
ก -า ง กาง
ช -ิ ง ชิง
ย -ุ ง ยุง
ร โ - ง โรง
ก - อ ง กอง
ส เ –ี ย ง เสียง
ฟ เ –ื อ ง เฟือง
จ -ู ง จูง
ด -ึ ง ดึง

กิจกรรมที่ 5
การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประ
จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับการสะกดคำ แม่กน
2.ให้นักศึกษาเขียนสะกดคำแม่กน คำในแม่กน เป็นคำที่มี น สะกด
พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
ก -า น กาน
ด -ิ น ดิน
ข -ุ น ขุน
ก โ - น โกน
ง - อ น งอน
ข เ –ี ย น เขียน
ร เ –ื อ น เรือน
จ -ู น จูน
ป -ื น ปืน
ด แ - น แดน



กิจกรรมที่ 6
การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประ
จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับการสะกดคำ แม่กม
2.ให้นักศึกษาเขียนสะกดคำ ในแม่กม เป็นคำที่มี ม สะกด
พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
ง -า ม งาม
ร -ิ ม ริม
ล -ุ ม ลุม
ค โ - ม โคม
ย - อ ม ยอม
ส เ –ี ย ม เสียม
อ เ –ื อ ม เอือม
ต -ู ม ตูม
ย -ื ม ยืม
ถ แ - ม แถม
ท -ี ม ทีม



กิจกรรมที่ 7
การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประ
จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับการสะกดคำ แม่เกย
2.ให้นักศึกษาเขียนสะกดคำในแม่เกย เป็นคำที่มี ย สะกด

พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
ก -า ย กาย
ล -ุ ย ลุย
ก โ - ย โกย
ค - อ ย คอย
ด เ –ื อ ย เดือย
ค เ - ย เคย



กิจกรรมที่ 8
การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประ
จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับการสะกดคำ แม่เกอว
2.ให้นักศึกษาเขียนสะกดคำคำในแม่เกอว เป็นคำที่มี ว สะกด
พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
ส -า ว สาว
ห -ิ ว หิว
จ เ –ี ย ว เจียว
ถ แ - ว แถว

กิจกรรมที่ 9
การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประ
จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับการสะกดคำ แม่กก
2.ให้นักศึกษาเขียนสะกดคำ ในแม่กก เป็นคำที่มี ก สะกด
พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
ม -า ก มาก
ว -ิ ก วิก
ล -ุ ก ลุก
ล โ - ก โลก
ด - อ ก ดอก
ป เ –ี ย ก เปียก
ช เ –ื อ ก เชือก
ล -ู ก ลูก
ล -ึ ก ลึก
ต แ - ก แตก
ป -ี ก ปีก



กิจกรรมที่ 10
การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประ
จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับการสะกดคำ แม่กด
2.ให้นักศึกษาเขียนสะกดคำ คำในแม่กด เป็นคำที่มี ด สะกด
พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
ข -า ด ขาด
ต -ิ ด ติด
ม -ุ ด มุด
ด โ - ด โดด
ย - อ ด ยอด
ข เ –ี ย ด เขียด
ช เ –ื อ ด เชือด
บ -ู ด บูด
ย -ึ ด ยึด
ด แ - ด แดด
ข -ี ด ขีด

กิจกรรมที่ 11
การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประ
จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับการสะกดคำ แม่กบ
2.ให้นักศึกษาเขียนสะกดคำ คำในแม่กบ เป็นคำที่มี บ สะกด
พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
ห -า บ หาบ
ด -ิ บ ดิบ
ท -ุ บ ทุบ
อ โ - บ โอบ
จ - อ บ จอบ
ร เ –ี ย บ เรียบ
ก เ –ื อ บ เกือบ
ส -ู บ สูบ
ส แ - บ แสบ
จ -ี บ จีบ



กิจกรรมที่ 12
การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประ

จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับการสะกดคำ แม่ ก กา
2.ให้นักศึกษา ฝึกเขียนคำแม่ ก กา

ภาษา พาที มี อะไร
ครู มี น้ำใจ นะ จ๊ะ
แม่ รอ พ่อ มา ไหว้ พระ
เจ้าป่า จะ ไป หา เทวดา
จำปี จำปา และ ยี่โถ
มะไฟ ช่อ โต ผลิ ใบ หนา
เรา จะ เพาะ อะไร ใน ไร่นา
ใคร พอ มี เวลา ให้ หา ดู


กิจกรรมที่ 13
การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประ

จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับการสะกดคำ แม่ กก แม่ กน
2.ให้นักศึกษา ฝึกเขียนคำแม่ กก แม่ กน
นกกระจอก บอก ลูก ผูก รัก
ปีก หัก พราก สุข ทุกข์ โศก รู้สึก อยากออก นอก โลกบริจาค ยกเมฆ เกก
โกก วิหค นึก สนุก สุนัข บริโภค พญานาคโชคดี เชื้อโรค

วันจันทร์ ตะวัน ทัน เห็น ฝนเล่น รำฟ้อนบน ก้อนหิน นิทาน ตำนาน ย่าน แผ่นดิน รื่นริน อาหาร ปัญญา บุญคุณ บอล การบ้าน ปลาวาฬ ปฏิภาณ คำนวณพิการ กังวล รัชกาล อาการ บันดาล



กิจกรรมที่ 14
การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประ

จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับการสะกดคำ แม่ กด แม่ กง
2.ให้นักศึกษา ฝึกเขียนคำแม่ กด แม่ กง

สมุด กระดาษ ชีวิต เปิด เกิด พืช สัตว์ ปรากฏ ลัด สะดุด กระโดด โลดเสียด ยอด ระบัด ประหยัด ยึด อาจราช จิต ญาติ อูฐ รถ ตำรวจ บัณฑิต


ลอง มอง ส่องแสง แสวง หวัง พลาง
นั่ง ฟัง ลุง นิ่ง หนึ่ง สอง ท่อง ถึง พึ่งพิง ซึ้ง สร้าง บางสิ่ง ยิ่งยง เพลง มุ้ง กุ้ง เพียง โลง ชัง ลัง กลองดัง แดง กล้อง เมือง หลวง คลอง ดวง

กิจกรรมที่ 15
การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประ

จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับการสะกดคำ แม่ กบ แม่ เกอว
2.ให้นักศึกษา ฝึกเขียนคำแม่ กบ แม่ เกอว

พบ กบ หลบ แอบ แวบ วับ ควบ
ขับ ลับ ขอบ รอบ หุบ กรอบแกรบ
แบบ บาป ทับ ทุบ อบอ๊บ สรุป
งุบงิบ รูป ภาพ ธูป ยีราฟ โชคลาภ กราฟ


ข่าวคราว ข้าวขาว มะพร้าวแก้ว หง่าว ๆ
หนาว แล้ว แมวเหมียว พลิ้วแพร้ว
แพรวพราว น้าว เคียว บ่าว สาว
ก้าว เกี่ยว เรียว ดาว

กิจกรรมที่ 16
การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประ

จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับการสะกดคำ แม่ กม แม่ เกย
2.ให้นักศึกษา ฝึกเขียนคำแม่ กม แม่ เกย

ลม หอม ห้อม ห่ม ร่ม ริม ชม
แย้มยิ้ม อิ่มอารมณ์ กลมกล่อม เยี่ยมยาม ถาม ดมดอม ถนอม อ้อม อุ้มอิ่มเอม ล้ม เดิม สาม เตรียม เอื้อม


ยาย เอ๋ย เคย หมาย ขาย สร้อย สวยสาย บ่าย คล้อย คอย เรื่อย น้ำลายหลาย สาย หน่าย เนือย เฉื่อย ๆ
เชย ๆ เย้ย ยาย เปื่อย กล้วย เหนื่อย



กิจกรรมที่ 17
การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประ

จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับการสะกดคำ ห นำ คำที่มีไม้ทัณฑฆาต
2.ให้นักศึกษา ฝึกเขียนคำ ห นำ คำที่มีไม้ทัณฑฆาต
หล้า หยิบ หนังสือ หมาย หนี หญิง
หวาน หลุม หลาย หลัง หมด หวัง
เหยื่อ หลั่ง หยด หยาด หรือ เหลือบ
หลบ หว่าง

สัตว์ สมบูรณ์ เถาวัลย์ ศูนย์กลาง
สร้างสรรค์ สัมพันธ์ พระจันทร์ สุขสันต์
ประสบการณ์ วันจันทร์ วันศุกร์ วันเสาร์
วันอาทิตย์ โทรศัพท์ โทรทัศน์ รถยนต์
พระสงฆ์ วอลเลย์ ประดิษฐ์ แพทย์
สหกรณ์ พาณิชย์ กษัตริย์ ไตรรงค์
อุตส่าห์ พืชพันธุ์

กิจกรรมที่ 18
การลากเส้นสระ ตามรอยเส้นประและคัดประโยค

จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน
กิจกรรม 1. สนทนาเกี่ยวกับการเขียนเป็นประโยค
2.ให้นักศึกษา ฝึกเขียนเป็นประโยคแล้วคัดประโยคลงในตารางด้วยตัวบรรจง

กบในกะลาครอบ
- คนที่ขาดวิสัยทัศน์มองเห็นแต่สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเท่านั้น
ตัวอย่าง
"เธออยู่แต่ในบ้าน ทีวีก็ไม่ดู หนังสือพิมพ์ก็ไม่ชอบอ่าน เหมือนกบในกะลาครอบ"

กรวดน้ำคว่ำขัน
- ตัดขาดไม่คบค้าสมาคนด้วยอีกต่อไป
ตัวอย่าง
"เพื่อนตัวแสบโกงเงินฉันไปเป็นแสนๆ ฉันน่ะกรวดน้ำคว่ำขันเลย"



ข้าวยากหมากแพง
- สภาวะขาดแคลนเกิดความอดอยาก
ตัวอย่าง
"สมัยสงครามข้าวยากหมากแพง ผู้คนอดอยากล้มตายไปจำนวนไม่น้อย"

ข้าวใหม่ปลามัน
- อะไรที่เป็นของใหม่ถือว่าดี
ตัวอย่าง
"ได้หัวหน้างานคนใหม่อะไรก็ดีไปหมด กำลังข้าวใหม่ปลามัน"

คว่ำบาตร
- ประกาศไม่ยอมคบค้าสมาคมด้วยไม่ร่วมงานด้วย
ตัวอย่าง
"สหประชาชาติประกาศคว่ำบาตรประเทศนั้นกรณีลุกลามประเทศอื่น”

คาบลูกคาบดอก
-ไม่แน่ว่าจะเป็นอย่างไหน ก่ำกึ่งกันอยู่
ตัวอย่าง
"นักกีฬาคนนั้นชอบเตะฟุตบอลคาบลูกคาบดอกคือเตะทั้งลูกทั้งคน "

แบบทดสอบหลังเรียน
คำสั่ง ให้นักศึกษาคัดข้อความด้วยตัวบรรจงให้สวยงาม (10 นาที)
เคล็ดลับคู่บ้าน วิธีผัดผักให้เขียวกรอบ น่ากิน
วิธีทำ
1. ล้างผักให้สะอาดก่อน นำผักไปต้มในน้ำเดือด ประมาณ 1 นาที
2. แล้วตักขึ้น แช่ในน้ำเย็นทันที ผักก็จะดูเขียวสด
3. แล้วจึงนำไปผัดอีกวิธี คือการตั้งกระทะใส่น้ำมันเปิดเตาแก๊สให้ไฟแรง พอน้ำมันร้อนจึงนำผักลงไปผัด
4. ผักจะดูเขียวสดน่ารับประทาน

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


แบบประเมินการคัดลายมือ
ชื่อ......................................................
นามสกุล.........................................................

ที่ รายการประเมิน คะแนนเต็ม ที่ได้
1 ความสวยงาม 30
1.1 ตัวหนังสือระดับเดียวกัน 6
1.2 ตัวหนังสือเป็นระเบียบแบบเดียวกัน 6
1.3 หัวไม่บอด 6
1.4 การวางสระ 6
1.5 การวางวรรณยุกต์ 6
2 ความสะอาด 20
3 ความเป็นระเบียบ 30
3.1 การเว้นวรรคตอน 9
3.2 การวางรูปแบบ 7
3.3 การย่อหน้า 7
3.4 การเขียนไม่ฉีกคำ 7
4 คัดลอกข้อความได้ถูกต้องครบถ้วน 20
รวมคะแนน 100

เกณ์การประเมิน (คะแนนเต็ม 100 คะแนน)
คะแนน 50-100 = ผ่านเกณฑ์
คะแนนต่ำกว่า 50 = ไม่ผ่านเกณฑ์
หมายเหตุ หรือคะแนนในแต่ละรายการประเมินต้องไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์




แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ให้นักศึกษาเขียนสะกดคำ แม่กง คำในแม่กง เป็นคำที่มี ง สะกด
พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
-า
-ิ
-ุ
โ -
- อ
เ –ี ย
เ –ื อ
-ู
-ึ

ให้นักศึกษาเขียนสะกด คำในแม่กน เป็นคำที่มี น สะกด
พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
-า
-ิ
-ุ
โ -
- อ
เ –ี ย
เ –ื อ
-ู
-ื
แ -


ให้นักศึกษาเขียนสะกด คำ ในแม่กม เป็นคำที่มี ม สะกด
พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
-า
-ิ
-ุ
โ -
- อ
เ –ี ย
เ –ื อ
-ู
-ื
แ -
-ี

ให้นักศึกษาเขียนสะกด คำ ในแม่เกย เป็นคำที่มี ย สะกด
พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
-า
-ุ
โ -
- อ
เ –ื อ
เ -







ให้นักศึกษาเขียนสะกด คำ ในแม่เกอว เป็นคำที่มี ว สะกด

พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
-า
-ิ
เ –ี ย
แ -

ให้นักศึกษาเขียนสะกด คำ ในแม่กก เป็นคำที่มี ก สะกด

พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
-า
-ิ
-ุ
โ -
- อ
เ –ี ย
เ –ื อ
-ู
-ึ
แ -
-ี






ให้นักศึกษาเขียนสะกด คำ ในแม่กด เป็นคำที่มี ด สะกด
พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
-า
-ิ
-ุ
โ -
- อ
เ –ี ย
เ –ื อ
-ู
-ึ
แ -
-ี

ให้นักศึกษาเขียนสะกด คำ ในแม่กบ เป็นคำที่มี บ สะกด

พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด คำ
-า
-ิ
-ุ
โ -
- อ
เ –ี ย
เ –ื อ
-ู
แ -
-ี


แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ให้นักศึกษาเขียนสะกด คำ ในแม่ ก กา แม่กก แม่กน แม่กด แม่กง แม่กบ แม่เกอว แม่กม แม่เกย คำ ห นำ คำที่มีไม้ทัณฑฆาต มาอย่างละ 5 คำ



แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ให้นักศึกษา แต่งประโยคด้วยตัวบรรจงเต็มบรรทัดมา 10 ประโยค


อ่านต่อ

อ่านเพิ่มเติม

รายงานผลการวิจัย


รายงานผลการวิจัย
การเปรียบเทียบความสามารถการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลม ก่อนและหลังการเรียนจากแบบฝึกทักษะการเขียน ของนักศึกษา ศรช.หนองบ่อ ต.หนองบ่อ อ.นาแก จ.นครพนม

ความสำคัญของปัญหา
ภาษาไทยเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารทำความเข้าใจกัน และใช้ภาษาในการประกอบ
กิจกรรมงานของครอบครัว สังคม และประเทศชาติเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ ดังนั้นการเรียนรู้ภาษาไทย จึงต้องเรียนรู้เพื่อให้เกิดทักษะอย่างถูกต้องเหมาะสมในการสื่อสารไม่ว่าจะเป็น ฟัง พูด การอ่าน การเขียน รวมทั้งการใช้ภาษาให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางภาษา
จากการจัดการเรียนการสอนนักศึกษา ศรช.ตำบลหนองบ่อ อ.นาแก จ.นครพนม พบว่า
นักศึกษา มีปัญหาในเรื่องการเขียน เขียนลายมือไม่สวยอ่านไม่ออก ไม่ชัดเจน ขาดทักษะการเขียน ขาดการพัฒนาตนเอง ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาประสบการณ์ ให้ผู้เรียนฝึกทักษะการเขียนให้ดีขึ้น สามารถพัฒนาตนเองอย่างเป็นขั้นตอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ การเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลมในการพัฒนาลายมือให้ดีขึ้นและเป็นพื้นฐานของการจัดวางคำให้ถูกต้องตามมาตราตัวสะกด
ปัญหาวิจัย
การเรียนจากแบบฝึกการเขียนแบบฝึกทักษะการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลม จะทำให้นักเรียนมีพัฒนาการเขียนที่ดีขึ้นหรือไม่
วัตถุประสงค์การวิจัย
1 เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลม สำหรับนักศึกษา กศน.ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น
2 เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลมก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะการเขียน
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.นักศึกษาได้พัฒนาทักษะการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลมได้ดีขึ้น
2.นักศึกษาใช้ภาษาเขียนในการสื่อสารได้สวยงามชัดเจน
วิธีการดำเนินการวิจัย1.รูปแบบการวิจัยเป็นการทดลองใช้แบบฝึกทักษะการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลม มีการทดสอบก่อนและหลังการเรียน
2.ประชากรที่ใช้คือกลุ่มตัวอย่าง นักศึกษา ศรช.หนองบ่อ ต.หนองบ่อ อ.นาแก จ.นครพนม ที่มีผลการเขียน ลายมืออ่านไม่ออกไม่ชัดเจน จำนวน 5 คน ซึ่งเป็นนักศึกษาในตำบลที่ผู้วิจัยร่วมรับผิดชอบ
3.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย
3.1 แบบฝึกทักษะการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลม เป็นแบบฝึกทักษะการเขียน ตามมาตราตัวสะกดที่มีการประสมคำ การเขียนตามเส้นตามรอยประ จำนวน 4 กิจกรรม ซึ่งมีขั้นตอนการสร้างดังนี้
3.1.1 ศึกษาแบบฝึกทักษะการเขียน แบบคัดลายมือ โดยค้นคว้าจากเอกสาร และสื่อเว็บไซด์ ต่างๆ สอบถามผู้รู้
3.1.2 กำหนดรูปแบบของแบบฝึก
3.1.3 สร้างแบบฝึก
3.1.4 จัดพิมพ์แบบฝึก
3.2 แบบทดสอบมี 1 ชุด คือ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
การสร้างแบบทดสอบ มีขั้นตอนในการสร้างดังนี้
1.กำหนดจุดประสงค์และเนื้อหาที่จะทดสอบ
2.เลือกรูปแบบของแบบทดสอบ
3.ออกแบบทดสอบ
4.จัดพิมพ์แบบทดสอบก่อนและหลังการเรียนรู้
3.3แบบบันทึกการให้คะแนน
การเก็บรวบรวมข้อมูล1.ทดสอบก่อนเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียน
2.ทดลองใช้แบบฝึกการเขียนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 50 นาที รวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553 ถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553
3.สัมภาษณ์นักศึกษาอย่างไม่เป็นทางการ
4.ทดสอบหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียน
การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนเรียนและหลังการเรียนแล้วหาค่าร้อยละเปรียบเทียบผลของการเรียนรู้
ผลการวิจัย
จากการวิเคราะห์ข้อมูลสรุปผลการวิจัยได้ดังนี้
1.นักศึกษามีร้อยละของความก้าวหน้าในการเขียนอักษรไทยแบบตัวกลมโดยภาพรวมจากแบบทดสอบเรียนร้อยละ9 ซึ่งภาพรวมไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน(ดังตารางที่ 1)
2.เมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคลพบว่า นางน้ำฝน วงศ์แสนชัย ไม่มีความก้าวหน้าในการเขียน(ร้อยละ 0)นางกมลทิพย์ เจือจันทร์ มีความก้าวหน้าในการเขียน(ร้อยละ 3)นางศรีเมือง ประทุมโสม มีความก้าวหน้าในการเขียน(ร้อยละ 5) นายสมพงษ์ ชาลี มีความก้าวหน้าในการเขียน(ร้อยละ 24) นางใคศรี จำปาแก้ว มีความก้าวหน้าในการเขียน(ร้อยละ 13)

ตารางที่1 เปรียบเทียบความสามารถการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลม ก่อนและหลังการเรียนจากแบบฝึกทักษะการเขียนของนักศึกษา ศรช.หนองบ่อ ต.หนองบ่อ จำนวน 5 คน (คะแนนเต็ม 100 คะแนน)
นักเรียนคนที่ คะแนนก่อนใช้แบบฝึก
(100) คะแนนหลังใช้แบบฝึก
(100) ร้อยละของความก้าวหน้า
1.นางน้ำฝน วงศ์แสนชัย 42 42 0
2.นางกมลทิพย์ เจือจันทร์ 28 31 3
3.นางศรีเมืองประทุมโสม 35 40 5
4.นายสมพงษ์ ชาลี 33 57 24
5.นางใคศรี จำปาแก้ว 31 44 13
รวมคะแนน 169 214 45
คะแนนเฉลี่ย(X) 33.8 42.8 9
กำหนดเกณฑ์การแปลผลความก้าวหน้าของผู้เรียนรู้ หรือผลการพัฒนาไว้ที่ ร้อยละ 25 ขึ้นไป
การสะท้อนผลการวิจัย
ผู้วิจัยได้ให้เพื่อนครูและนักศึกษาร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์งานวิจัยครั้งนี้ โดยได้ความคิดเห็นไว้ดังนี้
ครูกิตินันท์ ลีสี ครูศรช.อำเภอโพนสวรรค์ เสนอให้ใช้แบบฝึกที่ซ้ำๆบ่อยๆเพื่อการพัฒนาที่ดีขึ้น
นายสมพงษ์ ชาลี นักศึกษา ศรช.หนองบ่อ เสนอให้เพิ่มแบบฝึกให้มากขึ้น
นางใคศรี จำปาแก้ว นักศึกษา ศรช.หนองบ่อ เสนอให้ทำแบบฝึกมาให้ฝึกบ่อยๆ
แนวทางการพัฒนา
นักศึกษา
นักศึกษามีการพัฒนาขึ้นแต่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้
นักศึกษาควรได้รับการส่งเสริม หรือได้รับการพัฒนาความสามารถในการเขียนอย่างต่อเนื่อง
นักศึกษาที่มีข้อบกพร่อง หรือความก้าวหน้าช้าต้องให้เวลาการฝึกเพิ่มขึ้น
นำแนวทางในการพัฒนาความสามารถในการเขียนของนักศึกษา ไปใช้กับสภาพปัญหาอื่น ๆที่คล้ายกัน
ครูผู้วิจัย
ผู้วิจัยได้แนวทางในการปรับปรุงพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลม
-การเพิ่มกระดาษฝึกลายเส้นกราฟ
-กระดาษฝึกการเขียนแบบตัวบรรจงเต็มบรรทัดและครึ่งบรรทัด(ขนาดตัวอักษร)
-การพัฒนาผู้เรียนโดยการเน้นที่ตัวอักษรที่มีความบกพร่อง
-การฝึกเขียนโดยการแยกความยากง่ายของตัวอักษร
-เพิ่มระยะเวลาในการฝึกเขียน
ผู้บริหาร
สนับสนุนการทำการวิจัยและวัสดุอุปรณ์ในการทำวิจัย



อ่านต่อ

อ่านเพิ่มเติม

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

งานวิจัย


โครงร่างการวิจัย
1. ชื่อปัญหาการวิจัย
การเปรียบเทียบความสามารถการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลม ก่อนและหลังการเรียนจากแบบฝึกทักษะการเขียน ของนักศึกษา ศรช.หนองบ่อ ต.หนองบ่อ อ.นาแก จ.นครพนม

2. ความสำคัญของปัญหา
เป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาการเขียนลายมือไม่สวยอ่านไม่ออก ไม่ชัดเจน โดยใช้แบบฝึกทักษะ การเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลมในการพัฒนาลายมือให้ดีขึ้น
เป็นวิธีการหนึ่งในการพัฒนาผู้เรียนให้มีผลการเรียนในการฝึกทักษะการเขียนให้ดีขึ้น
เป็นยุทธวิธีที่ทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นพื้นฐานของการจัดวางคำให้ถูกต้องตามมาตราตัวสะกด
3. วัตถุประสงค์การวิจัย
3.1 เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลม สำหรับนักศึกษา กศน.ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น
3.2 เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลมก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะการเขียน
4. ตัวแปรที่ศึกษา
-
5. นิยามคำศัพท์ฉพาะ
แบบฝึกทักษะ หมายถึง ชุดแบบฝึกการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลมทั้งสระและพยัญชนะที่ใช้สำหรับการฝึกคัดลายมือ
ตัวอักษรไทยแบบตัวกลม หมายถึง ตัวอักษรทั้งสระและพยัญชนะของไทยแบบตัวกลม
การเรียนจากแบบฝึกทักษะการเขียน หมายถึง การเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเข้ามาเป็นสื่อในการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ดีขึ้น
6. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
นักศึกษาได้พัฒนาทักษะการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลมได้ดีขึ้น
นักศึกษาใช้ภาษาเขียนในการสื่อสารได้สวยงามชัดเจน
7. วิธีการดำเนินการวิจัย/วิธีดำเนินการแก้ปัญหา
7.1 ประชากร/กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา
ประชากร คือ นักศึกษา ศรช.หนองบ่อ จำนวน 41 คน
กลุ่มตัวอย่าง นักศึกษา ศรช.หนองบ่อ ที่มีผลการเขียน ลายมืออ่านไม่ออกไม่ชัดเจน จำนวน 5 คน
7.2 เครื่องมือที่ใช้
ก.เครื่องมือในการแก้ปัญหา/แนวทางแก้ปัญหา
แบบฝึกทักษะการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลม
ข.เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล
แบบประเมินผลก่อนและหลังการเรียน
7.3 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองโดยใช้แบบ
 ฝึกทักษะการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลม
 การประเมินผลก่อนและหลังการเรียน
เก็บรวบรวมข้อมูลจาก
นักศึกษา ศรช.หนองบ่อ ต.หนองบ่อ อ.นาแก จ.นครพนม จำนวน 5 คน
7.4 สถิติที่ใช้และวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล
-
8. แผนดำเนินการ
1. วางแผนและเขียนโครงร่าง 6 วัน
2. ปฏิบัติการตามแผน 20 วัน
3. เก็บข้อมูล 2 วัน
4. วิเคราะห์ 1 วัน
5. สรุปผลและเขียนรายงาน 3 วัน
9. ชื่อผู้ที่เสนอโครงการวิจัย
นางสาวกาญจนา สดใสญาติ

ประสบการณ์การเขียนโครงร่างวิจัย
ความรู้เรื่องการเขียนโครงร่างวิจัย
การวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบความสามารถการเขียนตัวอักษรไทยแบบตัวกลม ก่อนและหลังการเรียนจากแบบฝึกทักษะการเขียน ของนักศึกษา ศรช.หนองบ่อ ต.หนองบ่อ อ.นาแก จ.นครพนม
โดย นางสาวกาญจนา สดใสญาติ ตำแหน่งครูศูนย์การเรียนชุมชน
ตำบลหนองบ่อ อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม
วันที่ 5 เดือนมกราคม พ.ศ. 2553
ขั้นตอนการปฏิบัติ ข้อเสนอแนะ/ข้อพึงระวัง
 การเข้ารับการอบรมแนะแนววิธีการทำงานวิจัยจาก กศน.จ.นครพนม/อาจารย์วิทยากร
 ฝึกกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลเพื่อหาปัญหาในการทำงานวิจัย
 นำหัวข้อของปัญหามาเข้าสู่กระบวนการเขียนงานวิจัย
 เขียนงานวิจัยตามรูปแบบที่ได้รับมา(ใบงาน)
 นำงานวิจัยมาเสนอให้อาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อชี้แนะและแก้ไขให้เป็นไปตามหลักการของการทำงานวิจัย
 วางแผน/ออกแบบ นวัตกรรม/สื่อ ที่จะใช้ในการแก้ไขปัญหาของงานวิจัย
 ศึกษารูปแบบของแบบฝึกเขียน
 รวบรวมข้อมูล
 ประยุกต์แบบฝึกให้เหมาะสมกับการใช้ในกลุ่มศึกษา
 นำแบบฝึกมานำเสนอเพื่อขอคำแนะนำ
 นำไปทดลองใช้
 การทำงานวิจัยนั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ปัญหาของแต่ละคนแต่ละสถานที่มีความแตกต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบริบทของชุมชนนั้นๆ
 การทำงานเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วมีการแก้ไขปัญหาให้เกิดการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น นั้นก็เป็นรากฐานของงานวิจัยแล้วเพียงแต่บางครั้งอาจขาดกระบวนการ การรวบรวมข้อมูลให้มีความชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร

อ่านต่อ

อ่านเพิ่มเติม

แบบเรียนทางไกล


ชุดการเรียนทางไกลหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน

อ่านต่อ

อ่านเพิ่มเติม